💡 1. เลือกตาม วิธีควบคุม
- Wi-Fi Smart Bulb → ควบคุมผ่านแอปได้โดยตรง ไม่ต้องมีฮับ
✅ เหมาะกับผู้เริ่มต้น ใช้งานง่าย แค่ต่อ Wi-Fi บ้าน - ZigBee / Matter Smart Bulb → เสถียรกว่า Wi-Fi และตอบสนองเร็ว
✅ เหมาะกับบ้านที่มีระบบ Smart Home อยู่แล้ว เช่นใช้ Tuya ZigBee, Philips Hue, หรือ Home Assistant
📱 Tips: ถ้าใช้หลายหลอด ควรเลือก ZigBee เพราะไม่แย่งสัญญาณ Wi-Fi
🎨 2. เลือกตาม ประเภทของแสง
- Warm White (2700–3000K) → แสงอบอุ่น เหมาะกับห้องนอน ห้องนั่งเล่น
- Cool White (4000–4500K) → แสงขาวนวล เหมาะกับห้องทำงานหรือห้องครัว
- RGB / RGBWW → ปรับสีได้หลากหลาย เหมาะกับห้องสังสรรค์ หรือแต่งห้องให้มี Mood
📌 Tips: ถ้าชอบเปลี่ยนบรรยากาศบ่อย ควรเลือกหลอด RGBWW เพราะได้ทั้งโทนสีและแสงขาวจริง
⚙️ 3. เลือกตาม ฟังก์ชัน
- ตั้งเวลาเปิด–ปิดอัตโนมัติ ⏰
- ปรับความสว่าง (Dimmer)
- สั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa, Google Assistant, Siri
- ใช้ร่วมกับ Automation เช่น “กลับถึงบ้าน → ไฟเปิดอัตโนมัติ”
🏠 4. เลือกตาม พื้นที่ใช้งาน
พื้นที่ | แสงแนะนำ | ฟังก์ชันที่เหมาะ |
---|---|---|
ห้องนั่งเล่น | Warm White / RGB | เปลี่ยนสีตามอารมณ์ ดูหนัง ฟังเพลง |
ห้องนอน | Warm White | ตั้งเวลาปิดอัตโนมัติ ก่อนนอน |
ห้องทำงาน | Cool White | เพิ่มสมาธิ ไม่แสบตา |
ห้องครัว | Daylight | มองเห็นชัด ขณะทำอาหาร |
นอกบ้าน | หลอด Smart Outdoor IP65 | ใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์แสงหรือ Motion Sensor |
💰 5. เลือกตามงบประมาณ
- หลอด Smart Wi-Fi ทั่วไป ราคาเริ่มต้นเพียง 200–300 บาท
- หลอด ZigBee / Matter คุณภาพสูง ราคาประมาณ 500–900 บาท
- หลอด Smart Filament (โชว์หลอด) สำหรับตกแต่ง ราคาเริ่มต้น 400 บาทขึ้นไป
📈 สรุปสั้น ๆ
✅ เลือกให้เหมาะกับระบบ (Wi-Fi / ZigBee)
✅ เลือกโทนแสงให้เข้ากับห้อง
✅ เลือกฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
✅ ลงทุนกับหลอดที่มีมาตรฐาน (CRI ≥ 80, อายุ ≥ 25,000 ชม.)